Special Thank For ericmun…ตามคำขอข้าล่างอ่ะค่ะ อ่านแล้วแวะมาบอกด้วยนะคะว่าหวานพอมั้ย ^^ จาก Lunazia(บุ๋มบิ๋ม)
อ๊าา~!!! ไรเตอร์ค๊า อิอิ ขอ รีเควสค่าา เอิ๊กก ขอคู่ Bae-Ri เอา Nc นิดๆ พอหอมปาก หอมคอ เอิ๊กก แล้วก็ขอเพิ่มๆ เอาแบบหวานสุดๆ ไปเลย ชนิดที่น้ำตาลเรียกพี่ โอเคนะค๊า คิคิ รักไรเตอร์ที่สุดในโลก โฮกก เอิ๊กก : ericmun
○♥○♥○♥○♥○♥○♥○♥○ТДЕ♂ЯЇ○♥○♥○♥○♥○♥○♥○♥○
สมมติว่า...สี่ปีต่อมา:ตอน....รักนะทง ยองแบ จากซึงริ
หมายเหตุ : ภายในเรื่องซึงรีจะใช้ “ฮยอง”ก็ต่อเมื่ออยากอ้อนและใช้ “พี่” ในการพูดคุยธรรมดาและเวลาแสดงท่าทางจริงจังค่ะ
ลี ซึงฮยอนหนุ่มน้อยหน้าใสในอดีตที่บัดนี้เติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัวเขา กำลังศึกษาวิชาดนตรี เอกการขับร้องที่ประเทศออสเตรีย... ร่างกายที่สูงใหญ่ของซึงรีเริ่มแตกต่างจากเมื่อสี่ปีก่อนอย่างเห็นได้ชัด เหมือนว่าร่างกายผอมบางหากเต็มตึงไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง ใบหน้าคมเข้มดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผมลองทรงทันสมัยเปล่งประกายดำขลับสะท้อนล้อแสงแดดสดใสของฤดูร้อน บ่ายแก่ๆนักศึกษาต่างพากันหาที่หลบแดดกันให้วุ่นและรวมถึง ลี ซึงฮยอนคนนี้ด้วย
“สวัสดี!” ซึงรีทักขึ้นท่ามกลางเพื่อนๆชาวต่างชาติที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านโน้ตเพลงอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วก็พยักหน้าตอบรับก่อนจะก้มหน้างุดกลับไปที่เดิมอีก เขาไม่ได้เรียนดนตรีชนิดใดเป็นพิเศษหากแต่ถนัดเล่นเปียโนมากที่สุดแล้วจึงไม่ต้องเพียรพยายามในการจำโน้ตที่วุ่นวายพวกนี้เท่าไหร่นัก
เขาเป็นนักเรียนนอกคอกของที่นี่!
ซึงรีทั้งที่เรียนในมหาวิทยาลัยแห่งกรุงเวียนนาแต่กลับอยู่ในกลุ่มของเด็กฮิปฮอบ อาร์แอนด์บีและการเต้นบีบอยท่ามกลางกรุงเวียนนาที่ทุกๆ เช้าจะถูกปลุกด้วยเพลงของโมสาร์ท ชาวเวียนนาหลงไหลกับเพลงคลาสสิคมาช้านานแต่ซึงรีมาอยู่ที่นี่กับฮิปฮอบ!
เขาไม่เข้าใจตัวเอง...ทำไมต้องมาเต้นบีบอยไกลถึงขนาดนี้กันนะ
ทุกๆวันเขาจะต้องเข้าเรียนร้องโอเปร่ากับมิสเคิร์ส ซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนที่มีทรงผมเป็นมาตรฐานที่สุดในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
เกล้ามวยตึงเปรี๊ยะ
จนบางทีเขาเองที่รู้สึกปวดหัวแทนมิสอยู่บ้าง เลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วซึงรีก็ทรุดนั่งลงที่ใต้ไม้ขนาดใหญ่ที่แผ่คลุมเป็นร่มเงาให้นักศึกษากว่าสิบชีวิตได้พักคลายร้อน ซึงรีก็เป็นหนึ่งในนั้น ในมือของเพื่อนคนอื่นมีโน้ตเพลงหลากหลายเพลง แต่ในมือของซึงรีมีโน้ตบุ้คสีขาวของแมคหนึ่งเครื่องแทน เขาไม่ใส่ใจสายตาดูแคลนของนักศึกษาชายที่สวมแว่นหนาเตอะที่กำลังซุบซิบนินทากันให้เห็นต่อหน้าแบบนี้หรอก
ซึงรีกดเปิดเครื่องเพื่อเตรียมติดต่อพูดคุยผ่านแชทกับใครบางคนที่เขาแสนคิดถึง ตลอดเวลาที่เรียนที่นี่คนๆนี้ก็คอยพูดคุยให้เขาคลายเหงาเสมอ
ทง ยองแบ
ใบหน้ายิ้มแย้มที่ดูใจดี กำลังปรากฏผ่านกรอบสี่เหลี่ยมเล็กในเครื่องแมคบนตักของเขาแล้ว ซึงรีโบกมือพร้อมส่งยิ้มหวานให้คนที่ยู่อีกฝากหนึ่งของโลกผ่านเครื่องมือสื่อสารขนาดกระทัดรัด นิ้วเรียวขาวพรมลงบนคีย์บอร์ดรัวเร็ว
มักเน่สุดหล่อฮับป๋ม : ดีครับพี่ยองแบ J หายไปนานเลยอ่า > <
ยองแบครับผม : อ๋อไปตรวจงานที่อินชอนน่ะ ทำไมเหงาเหรอ
มักเน่สุดหล่อฮับป๋ม : อือ เหงาที่สุดเลย :(
ยองแบครับผม : ขอโทษนะพี่ติดงานจริงๆ
มักเน่สุดหล่อฮับป๋ม : ครับผมเข้าใจ J
ซึงรีส่งยิ้มให้คนตรงหน้าอีก พี่ยองแบที่รักของเขากำลังง่วนกับการพิมพ์ข้อความมาให้เขา ซึงรีมองภาพนั้นอย่างแสนคิดถึง ยองแบเงยหน้าขึ้นสบตาผ่านเว็บแคมแล้วกดเอ็นเทอร์ส่งข้อความมาให้เขา
ยองแบครับผม : อาทิตย์หน้าจะแวะไปหานะ
มักเน่สุดหล่อฮับป๋ม : จริงเหรอฮะ ว้าวดีใจที่สุดเลย
ซึงรีฉีกยิ้มกว้างอวดฟันขาวให้ยองแบผ่านเว็บแคม
ยองแบครับผม : งั้นแค่นี้ก่อนนะพี่ต้องเข้าประชุมแทนคุณยาง
มักเน่สุดหล่อฮับป๋ม : ง่าทำไมได้คุยนิดเดียวเอง
ซึงรีพองแก้มให้ยองแบดู และเขาได้เห็นพี่ยองแบที่รักหัวเราะขำกับความเป็นเด็กของเขา ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง!
ยองแบครับผม : ซึงฮยอนน้อยครับ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเราก็ได้เจอกันแล้วนะ
มักเน่สุดหล่อฮับป๋ม : ครับ ผมเข้าใจแล้วฮะ
ยองแบครับผม : ดีมากเอาไว้เจอกันที่เวียนนานะ
มักเน่สุดหล่อฮับป๋ม : เย้ๆ ดีใจจัง
ยองแบครับผม : ฮ่าๆ แล้วเอาไว้พาพี่ไปเที่ยวด้วยล่ะ
มักเน่สุดหล่อฮับป๋ม : แน่นอนอยู่แล้ว ผมจะพาพี่ไปเที่ยวให้รอบเวียนนาเลยดีมั้ยครับ
ยองแบครับผม : OK
มักเน่สุดหล่อฮับป๋ม : ผมคิดถึงฮยองนะครับ
ยองแบครับผม : พี่ก็คิดถึงนะ
ซึงรียิ้มให้ยองแบเมื่อได้อ่านข้อความนั้น ใบหน้าพี่ยองแบที่เขามองมันแดงก่ำอย่างน่ารัก จนอยากเจอคนที่มองผ่านกรอบเล็กๆ นี้เสียแล้ว
ยองแบครับผม : พี่ไปก่อนนะ
มักเน่สุดหล่อฮับป๋ม : ครับ ตั้งใจทำงานนะครับ
ยองแบครับผม : อืม บาย
มักเน่สุดหล่อฮับป๋ม : บะบายคร้าบบบ
ยองแบหายไปจากหน้าต่างสนทนาแล้วแต่ซึงรียังคงนั่งยิ้มกับความคิดของตัวเองอยู่
เขาจะได้เจอพี่ยองแบที่รักแล้วสินะ...
ซึงรีหุบยิ้มไม่ลง อารมณ์ดีถึงขีดสุด พลางฮัมเพลงคลาสสิคแสนหวานที่ได้ฝึกขับเสียงร้องกับมิสเคิร์สอยู่ทุกคาบ เขาไม่รู้ตัวว่าได้ส่งเสียงไพเราะออกไปจนจบเพลงจนกระทั่งเสียงปรบมือชื่นชมยาวนาน รอบๆตัวเขาชายหนุ่มสายเลือดเกาหลีถึงได้รู้สึกตัวแล้วรีบโค้งคำนับด้วยท่าทางสวยงาม
“ขอบคุณคร้าบบๆ” ซึงรีกล่าวกับเพื่อนๆ ที่ส่งยิ้มให้เขารวมถึงเจ้าแว่นหนาเตอะที่นินทาเขาก็ยังส่งยิ้มพร้อมเสียงปรบมือมาให้ ซึงรีเกรงว่าจะรบกวนการท่องโน้ตเพลงของเพื่อนๆ มากเกินไปจึงหลบออกมาจากใต้ต้นไม้ที่แสนร่มรื่นนั้นซะก่อน ชายหนุ่มเดินฮัมเพลงไปตลอดทาง
เขามีความสุขนี่นา
พี่ยองแบกำลังจะมาหาเขาที่นี่
“เฮ้อ...คิดถึงพี่ยองแบจัง” ซึงรีชูมือขึ้นเหนือศีรษะ พลางพูดออกมาเสียงดัง
“เหรอ!! พี่ก็คิดถึงซึงฮยอนน้อยเหมือนกันนะครับ” เสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูดังตอบกลับมาจากทางด้านหลัง ซึงรีร่างแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นรูปปั้น ไม่กล้าแม้จะเอี้ยวหน้ากลับมามอง เสียงหายกลับเข้าไปในลำคอไม่สามารถเล็ดลอดคำพูดใดออกมาได้อีก ชายหุน่มเจ้าของเสียงก้าวเดินช้าๆ แต่มั่นคงเข้าไปหาร่างสูงที่แข็งค้างไปทันทีหลังจากได้ยินเสียงของตนเอง จนร่างของเขามาหยุดยืนที่ตรงหน้าของซึงรี
“พี่ยองแบ!!!!” ซึงรีเบิกตากว้าง จับจ้องใบหน้าที่แสนคิดถึงนั้นอย่างงมงาย จนแทบลืมหายใจ...
“ไง ไม่กอดทักทายกันหน่อยเหรอ” ยองแบส่งยิ้มหวานพลางกางแขนทั้งสองข้างกว้างรอ ซึงรีที่ยืนนิ่งอยู่เหมือนถูกกดสวิตรีบผวาเข้ารัดร่างแข็งแรงนั้นไว้ในอ้อมกอดของเองทันที สี่ปีแล้วที่พวกเขาได้แต่พูดคุยกันผ่านแชท ได้ยินเสียงจากโทรศัพท์ และได้เห็นรอยยิ้มจากเว็บแคม!
“ฮะๆ ดูนายสิกอดแน่นเชียว จะหายใจไม่ออกแล้วนะ” ยองแบเอ่ยแซวน้องน้อยของเขาที่บัดนี้ร่างกายสูงใหญ่เกินเขาไปซะแล้ว ยองแบลูบแผ่นหลังกว้าง ปลอบโยนให้ซึงรีหายตื่นเต้นดีใจ
“ผมนึกว่า...” ซึงรีระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อกี้ที่ใต้ต้นไม้เขายังคุยกับพี่ยองแบผ่านแชทอยู่เลย แต่ตอนนั้นพี่ยองแบอยู่ที่เกาหลีนี่ หรือว่า...
“อืม..พี่อยู่ที่มหาวิทยาลัยนี่แหละ ตรงนั้นไง” ยองแบชี้นิ้วไปทางตึกเก่าๆหลังหนึ่ง มีหน้าต่างกระจกใสสามารถมองเห็นซึงรีได้ชัดเจน
“มิน่าละครับ ผมก็ว่าทำไมห้องทำงานของพี่ยองแบมันแปลกๆไป” ซึงรีอมยิ้มแก้มตุ่ย ไม่ยอมคลายอ้อมกอดเสียที
“ปล่อยพี่ก่อนเถอะ เดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิดหมดแล้ว” ยองแบก้มหน้าก้มตาบอกซึงรีที่ยังยืนยิ้มเหมือนคนดีใจมากจนใกล้บ้า
“ฮะๆ ปล่อยเขาเข้าใจไปสิฮะ ผมว่าก็เข้าใจถูกแล้วนี่นา” ซึงรีขโมยหอมแก้มฟอดเล็กๆจากยองแบ ที่เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ
“ทำอะไรน่ะ คนมองกันใหญ่แล้วนะ” เสียงนุ่มเอ่ยโกรธๆ
“ง่า..ก็ผมคิดถึงพี่ยองแบนี่ครับ” ซึงรีส่งสายตาเศร้าให้คนตรงหน้า ยอมปล่อยให้ยองแบออกจากอ้อมกอดไปอย่างเสียดาย “งั้นจับมือกันนะ” ซึงรีไม่รอคำตอบรีบจับมือข้างหนึ่งของยองแบไว้แล้วค่อยๆแทรกนิ้วประสานเข้าหากัน ยองแบก้มลงมองพื้นใบหน้าแดงก่ำ หลบสายตาคมที่จ้องมองเขาเขม็ง
“อื้อ...รีบกลับกันเถอะ” ยองแบบอกเสียงอ้อมแอ้มยังไม่ยอมมองสบตาคนข้างกายเพราะ เขาไม่อยากให้ซึงรีมองเห็นว่าตัวเองอายจนใบหน้าร้อนผ่าวไปหมดแล้วทั้งสองจูงมือกันเดินจนถึงหน้าประตูใหญ่ ซึงรีดึงให้ยองแบเลี้ยวออกไปทางซ้ายเพื่อตรงกลับไปที่หอ
“หิวมั้ยครับ” ซึงรีก้มลงถามคนน่ารักที่ยังไม่ยอมสบตาด้วยซะที ได้แต่มองใบหน้าด้านข้างแทน
“นิดหน่อยน่ะ” ยองแบหันมาตอบ สบเข้ากับสายตาหวานของซึงรีที่กำลังบอกความรู้สึกในใจอยู่ มันหวานจนเขาไม่กล้ามอง ใบหน้าร้อนๆ เหมือนจะลุกเป็นไฟให้ได้ยองแบรีบก้มงุดมองปลายเท้าตัวเองอีก ทำไมนะเขาถึงไม่เลิกอายซะที! ยองแบคิดอย่างเซ็งตัวเอง
“พี่ยองแบครับ” ซึงรีเรียกยองแบเสียงหวาน นิ้วเรียวเชยคางของคนตรงหน้าให้เงยขึ้นมองตอบเขาเสียที ดวงตาของทังคู่จับจ้องกันนานแสนนาน มีเพียงเงาของกันและกันที่ปรากฏเป็นภาพในดวงตาของอีกฝ่าย ยองแบรู้สึกว่าภาพตัวเองกำลังขยายใหญ่ขึ้น เรื่อยและสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นชื้นของซึงรี ความนุ่มนิ่มบดเบียด ปัดแผ่วๆ ที่ริมฝีล่างของยองแบ จากนั้นผละออกเพียงเล็กน้อยแล้วกดจุมพิตเบาๆ ลงไปอีกครั้งและอีกหลายต่อหลายครั้ง ยองแบที่ตื่นตะลึงไปกับสัมผัสนั้นพริ้มเปลือกตาลงช้าๆ สองแขนเลื้อยโอบรอบคอร่างสูงที่กำลังโอบกอดเขาอยู่เช่นกัน ความร้อนแผ่กระจายขึ้นมาตามร่างกายและใบหน้า เสียงหอบหายใจน้อยๆ สอดประสานแผ่วเบา ท่ามกลางแมกไม้เวลาบ่ายคล้อย บรรยากาศเริ่มมืดครึ้มลงเรื่อยๆแล้ว คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็แทบจะไม่มีให้เห็นอีก
“พี่ยองแบครับ...”เสียงกระซิบเบาบางชิดริมฝีปากยองแบเรียกระดมขนอ่อนลุกชันไปทั่วทั้งกาย อ้อมแขนแข็งแรงรัดให้แน่นขึ้นอีก แต่คราวนี้ยองแบเต็มใจที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นเอง
“อืมมม...” เสียงครางรับหวานแผ่วจนซึงรีแทบอยากกระชากให้คนน่ารักในวงแขนนอนราบลงกับพื้นแล้วทาบทับกายลงไปเกลือกกลั้วใบหน้าบนผิวขาวนุ่มแทน ริมฝีปากที่บดเบียดประทับ เม้ม ดูด หาความหวานจนริมฝีปากยองแบราวกับผีเสื้อเชยชมกลีบดอกไม้หอมหวาน
“...ผมว่าพอแค่นี้ก่อนนะ...” ซึงรีกระซิบบอกร่างในอ้อมกอดที่แสนน่ารัก “ไม่อย่างนั้น....ผมอาจลากพี่ยองแบเข้าป่าแถวนี้เอาก็ได้” ซึงรีเอ่ยบอกพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ยองแบนะเหรอได้แต่ก้มหน้างุดซบใบหน้ากับแผ่นอกกว้างของซึงรีเท่านั้นเอง
“ไปเถอะครับผมจะพาไปกินอาหารเย็นที่อร่อยที่สุดในโลก” ซึงรีผละออกแล้วรีบดึงร่างของยองแบไปก่อนที่เขาจะเผลอเหลือบมองแมกไม้หนาทึบด้านข้างที่มีบรรยากาศโพล้เพล้แสนเป็นใจอย่างนี้ ส่วนยองแบพยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินตามไปทั้งที่ก้มมองพื้นไปตลอดทาง ทำไมถึงอายได้ขนาดนี้นะ!! ยองแบเซ็งตัวเองอีกแล้ว หัวใจเต้นโครมครามไม่ยอมหยุดเหมือนจะทะลุผิวหนังออกมาภายนอก ใบหน้าคงสุกเกรียมแล้วพอกันนั่นแหละ ยองแบลอบถอนใจออกมาอย่างยอมแพ้ตัวเอง ซึงรีโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่คิดไว้เสียอีก พอแอบมองใบหน้าด้านข้างก็ดูสมชายมากขึ้นด้วย แววตาหวานยามจับจ้องก็ทำให้ใจสั่นสะท้านได้ทุกครั้งไป ทำกันไมนะ...ยองแบถามตัวเองอีกหลายครั้ง
ขากลับซึงรีพายองแบแวะร้านประจำของเขาก่อนถึงหอพักสามบล็อกถนน มันคือร้านสตู และอาหารแบบดั้งเดิมของเวียนนา ขนมปังฝรั่งเศสกรอบนอกนุ่มในกับสตูข้นๆ สลัดผักชุ่มฉ่ำราดด้วยครีมสลัดเปรี้ยวๆหวานๆ ทั้งสองจบมื้อค่ำแล้วซึงรีก็ลากยองแบกลับไปที่หอพักทันที เมื่อมาถึงในห้องนั้นกลับมีบุคคลที่สามมาอยู่ด้วย
“ไฮฮันนี่ ยูหายไปไหนมา!” สาวทรงโตผมบรอนสลวย ดวงตาสีฟ้าท้องทะเลส่งยิ้มทักทายมาจากเตียงของเขา ร่างกายของเธอแทบจะเรียกว่าเปลือยเปล่าก็ว่าได้ เพราะร่างขาวๆนั้นซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าห่มหนา
ซึงรีตะลึงมองภาพตรงหน้า
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!” ชายหนุ่มอุทานกับตัวเอง มือที่ประสานไว้กับยองแบมาตลอดทางถูกสลัดออกอย่างไม่ใยดี ซึงรีหันไปจะเอ่ยอธิบายแต่คนข้างๆกลับไม่ยอมฟังเขาเลย ยังดีที่พี่ยองแบแค่ผลักเขาจนหงายหลังล้มลงกับพื้น แทนที่จะต่อยอย่างที่นึกกลัวทำไมน่ะเหรอก็เพราะหมัดยองแบหนักเอาเรื่องเหมือนกัน!!
ยองแบมองซึงรีอย่างผิดหวังใบหน้าชาดิกเหมือนถูกตบฉาดใหญ่ เขาดั้นด้นมาที่นี่ทำไม...เวลาช่วงพักร้อนที่หวังว่าจะมาใช้กับซึงรีกลับกลายเป็นแค่ความฝันภายในพริบตาเดียว
“พี่...ฮยองเดี๋ยวก่อน!!!” ซึงรีพยายามลุกขึ้นฉุดรั่งร่างของแบเอาไว้ แต่ก็ลับสายตาลงไปตามบันไดซะแล้ว ซึงรีออกวิ่งตามยองแบเห็นคนที่เข้าใจเขาผิดอยู่เบื้องหน้า
ทำไมนะช่วงขาที่ยาวกว่าของเขาถึงก้าวไม่ทันพี่ยองแบซะที...
ซึงรีกัดฟันวิ่งเร็วขึ้นอีก จนกระทั่งคว้าจับแขนยองแบได้ข้างหนึ่ง ทั้งสองยื้อยุดกันไม่เลิกซึงรีพยายามดึงร่างนั้นมากอดให้ได้พอๆกับที่ยองแบต้องการสลัดหลุดวงแขนนั้นเช่นกัน
“ฮยองฟังผม ฟังผมก่อนสิครับ!!” ซึงรีตะคอกใส่คนตรงหน้า เมื่อยองแบหยุดนิ่งซึงรีได้โอกาสกอดรัดร่างนั้นแน่นเพราะกลัวยองแบจะวิ่งหนีไปอีก “ผมไม่รู้จักเธอนะครับ” ซึงรีกระซิบเสียงสั่นที่ข้างหูยองแบที่หอบจนตัวโยนเช่นกัน
“ฮยองครับ ผมมีแต่ฮยองคนเดียว!” ซึงรีกดซุกใบหน้าลงกับซอกคอ “เชื่อผมนะครับผมไม่เคยมีใครนอกจากทง ยองแบทั้งนั้น” ซึงรียังพยายามอธิบายต่อไปแม้ว่ายองแบจะนิ่งเงียบ
“ฮยอง!!...เชื่อผมนะครับได้โปรด” ซึงรีหมุนร่างนั้นให้มาเผชิญหน้า “ฮยะ...ฮยอง ร้องไห้ทำไมครับ” ซึงรีอึ้งมองหยาดน้ำใสๆ ที่เขาไม่เคยเห็นจากพี่ยองแบมาก่อน มือคอยเกลี่ยหยดน้ำออกจากดวงตาแดงก่ำ ปลายจมูกแดงๆ เบี่ยงหนีสัมผัสแผ่วเบาของซึงรีทุกครั้งไป
“ก็..ก็เค้าอยู่ในห้องนาย บนเตียงนายแล้วจะบอกว่ามไม่รู้จักได้ยังไงล่ะ” เสียงหวานนุ่มของคนตรงหน้าตัดพ้อ ซึงรีประคองใบหน้าใสให้ขึ้นมองเขา ซึงรีจับจ้องดวงตาเรียวคู้นั้นแน่วแน่
“ฮยองดูผมนะครับ ผมรักฮยองคนเดียวจริงๆ เธอคนนั้นผมไม่รู้จัก” ชายหนุ่มพยายามสื่อความใจให้ยองแบ ดวงตาของทั้งสองกำลังสื่อสารกันอีกครั้ง “เชื่อผมนะครับ...”ซึงรีกระซิบเสียงแผ่ว ค่อยๆลดใบหน้าเพื่อประกบจูบยองแบที่เผยอริมฝีปากรอรับสัมผัสอยู่เช่เดียวกัน
“อืม...พี่จะเชื่อนาย อืมม” ปลายลิ้นแทรกไปตามกลีบนุ่มที่แยกออกจากกันแล้วสอดลึกเข้าไปในโพลงปากเพื่อควานหาความหอมหวานเนิ่นนาน ลมหายใจหอบสอดประสานกัน ขณะที่แววตาฉ่ำหวานจับจ้องซึ่งกันและกันซึงรีเงยหน้ามองไปรอบๆ สถานที่คุ้นตาด้านข้างทำให้เขานึกอะไรบางอย่างได้ ฉุดลากยองแบที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ต้องวิ่งตามเข้าไปในพุ่มไม้หน้าด้านข้าง
“นี่...ซึงฮยอน” ยองแบเรียกชื่อชายหนุ่มที่ลากเขาเข้ามาจนลึกผ่านต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย และแสงไฟเริ่มสาดส่องมาไม่ถึง เมื่อเงยมองบนท้องฟ้ามีเพียงแสงจันทร์กระจ่างที่เริ่มลอยเด่นขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรี ซึงรีไม่ยอมตอบยังคงมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงริมทะเลสาปที่สะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับงดงามอยู่เบื้องหน้า ซึงรีถึงได้ยอมหยุดลง
“สวยมั้ยครับ...” ซึงรีถามคนข้างๆที่ยืนนิ่งเหม่อมองความงามของธรรมชาตินั้นอย่างตะลึง รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏที่ริมฝีปาก
“สะสวยมากเลย” ยองแบส่งยิ้มให้ซึงรีเหมือนเด็กๆ รอยยิ้มหวานกระตุ้นความต้องการเป็นเจ้าของให้กับซึงรีอักครั้ง เขาดึงร่างยองแบเข้ามากอดแน่นพลางกระซิบคำรักที่ข้างหู หัวใจสองดวงแข่งกันเต้นประสานรัว ริมฝีปากบดเบียดกันเนิ่นนานพอๆปลายลิ้นที่เกี่ยวรัดไม่ยอมให้คลายจากกันได้ง่ายๆ
“อือ...ซึงฮยอนพะพอก่อน” ยองแบครางห้ามเสียงกระเส่า ร่างที่ถูกผลักแนบติดต้นไม้พยายามหลบปลายจมูกซุกซนที่ไล้ไปทั่วใบหน้าของเขา
“ทำไมละครับ...ผมต้องการฮยองนะ” ซึงรีระซิบตอบขบกัดติ่งหูเบาๆ เพื่อเป่าสติของยองแบให้หายไปอีก มือข้างหนึ่งถือวิสาสะล้วงผ่านสาบเสื้อเข้าไปสัมผัสผิวกายภายใน ยองแบกระตุกเฮือก พยายามต่อต้านแต่ซึงรีงชิงรวบข้อมือไว้เหนือศีรษะเสียก่อน
“อื้อออ” เสียงครางประท้วงไม่มีผลต่อซึงรีที่หน้ามืดไปด้วยแรงอารมณ์แล้ว เขาคิดเพียงต้องการสูดดมกลิ่นกายที่แสนคิดถึง สัมผัสทุกๆที่บนร่างกายนี้เท่านั้นเอง
“ซึ-ซึงฮยอน อึก!” ยองแบปล่อยให้น้ำตาร่วงหล่นออกมาอีก ซึงรีรีบปล่อยข้อมือที่ยึดไว้ให้เป็นอิสระแล้วดึงร่างยองแบมากอดปลอบ
“ขอโทษครับ ผม...ผิดไปแล้ว” ซึงรีลูบศีรษะคนในอ้อมกอดที่หลั่งน้ำตาออกมา ชายหนุ่ม ลูบแผ่นหลังที่สั่นสะท้านเพราะแรงสะอื้นอย่างปลอบประโลม
“ผมไม่ทำแล้วนะฮะ ฮยองหยุดร้องนะครับ” ซึงรีปาดเช็ดน้ำตาจนแห้งเหือด “ไม่เอานะครับ ผมรักฮยองนะ” ซึงรียิ้มให้ยองแบ
“ขอโทษนะที่พี่...” ยองแบซุกใบหน้ากับอกกว้างอีกครั้ง “พี่กลัวน่ะ อย่าโกรธนะ” ยองแบโอบแขนรอบเอวของซึงรีแน่น ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างยินดีที่ใหนที่สุดยองแบก็ยอมรับเขาเข้าไปเต็มหัวใจซักที
“ผมไม่มีวันโกรธฮยองหรอกครับ ก็ผมรักฮยองนี่” ซึงรีจุมพิตหน้าผากมน
“อื้อ...” ยองแบก้มหน้างุดอย่างเขินอาย ทั้งที่บริเวณนี้ไม่มีแสงสว่างเพียงพอ แต่แสงจันทร์ก็ขับกล่อมให้คู่รักสามารถแลกจุมพิตกันอย่างยาวนานและอ่อนหวานอย่างที่สุด
ซึงรีมอบความรักและอ่อนโยนให้ยองแบจนหมดสิ้นตั้งแต่ที่เขาได้รู้ว่า ใครคือคนที่เขาไม่สามารถขาดได้ สี่ปีมันนานเกินไปสำหรับการแยกจากนับแต่นี้ไปเขาจะไม่มีวันห่างพี่ยองแบไปไหนอีกแล้ว...เขาสัญญากับตัวเอง!
ขอบคุณนะครับพี่ชเว ซึงฮยอน
ซึงรีพึมพำในใจ เขาอยากขอบคุณพี่ใหญ่ที่คิดแผนนี้นี้ขึ้นมาเพื่อให้เขาได้รับความรักและไว้วางใจจากพี่ยองแบทั้งหมดสักที
...ส่วนผู้หญิงคนนั้นพี่ซึงฮยอนเอาไปจัดการเองแล้วกันครับ...แต่เคลียร์พี่จียงเอาเองนะ
“รักพี่ยองแบที่สุดนะครับ” ซึงรีเลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วแล้วกระซิบถ้อยคำหวานให้แก่คนในอ้อมกอด...
○♥○♥○♥○♥○♥○♥○♥○ВДЕ♂ЯЇ○♥○♥○♥○♥○♥○♥○♥○
ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูล
ตอบลบ