BigBang: between us!!...[Young bae]
▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫B♂gB♫ng▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫
Dong Young Bae: พูดจบผมหันกลับเข้าห้องตัวเองปล่อยให้พี่ซึงฮยอนยืนอ้าปากค้างไปคนเดียว หึหึ อำแค่นิดหน่อยเจ้าพี่เซ่อก็ปล่อยไก่ออกมาซะหมดเล้าเลยเฮ้อ! ผมเหลือบตามมองนาฬิกาที่โต๊ะหนังสือแล้วส่ายหน้าอย่างนี้คงนอนไม่หลับแล้ว
“เฮ้อ...ไปตั้งอาทิตย์หนึ่ง” ผมได้แต่รำพึงรำพันคนเดียวก็ในห้องมีแค่ผมนี่ครับคงไปรำพึงรำพันกับคนอื่นไม่ได้ แต่ที่ผมพล่ามมาทั้งหมดนี่ก็เพราะต้องจากซึงฮยอนคนเล็กไปซะไกลไม่รู้ว่าพอผมไปแล้วจะเหงาหรือเปล่า ชักน่าเป็นห่วงไหนจะโรคกลัวความมืด กลัวผี กลัวอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง แล้วใครจะพาหมอนั่นลงมาที่ครัวตอนกลางคืนกันนะ
เฮ้อ!...
แค่คิดก็กลุ้มแล้วนะเนี่ย ผมดูนาฬิการอบสองซึ่งเป็นเวลาตีสี่สี่สิบห้าแล้วก็ได้แต่เดินไปหยิบผ้าขนหนูเพื่อล้างหน้าล้างตาซะหน่อย ผมใช้เวลาสองสามนาทีเพื่อกลับมาเช็คกระเป๋าสัมภาระทั้งหลายแหล่ของตัวเองว่ายังขาดเหลืออะไรอีกบ้าง จดรายการที่ต้องซื้อตอนขากลับมาฝากสมาชิกคนอื่นๆ โดยเฉพาะน้อง “รัก” ของผม ลี ซึง ฮยอนนั่นแหละฮะเมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยผมก็ได้แต่รอเวลาที่จะออกเดินทางไปทรรศนะศึกษาอ้อและโปรดเข้าใจซะว่าไม่ได้ไปกับโรงเรียน ม.ปลายที่ไหนนะครับเพราะผมเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งเหมือนเจ้าจียงนั่นแหละ แต่พอดีว่าคณะที่ผมเลือกคือบริหารการโรงแรมมันต้องออกภาคสนามไปสำรวจแหล่งท่องเที่ยวกันหน่อย ทั้งที่จริงผมว่าพวกอาจารย์เขาอยากไปเที่ยวเลยหาข้ออ้างมากกว่าผมไม่เห็นอยากไปเลย เพราะต้องอยู่ห่างจากโซลและอยู่ห่างจากซึงฮยอนของผมด้วยนี่สิ แย่จริงๆ
เฮ้อ.........................
ตีห้าสิบห้าผมก็เดินมาหยุดที่หน้าห้องของน้องเล็ก ชั่งใจอยู่นานว่าควรจะปลุกซึงฮยอนดีมั้ยแต่ด้วยความที่ผมเป็นคนดีขี้เกรงใจเลยเลือกที่จะเดินเข้าไปเลยเพราะยังไงหมอนี่ก็ไม่ชอบล็อกห้องอยู่แล้ว(คนดีตรงไหน - -) ร่างซึงฮยอนที่นอนอ้าซ่าอยู่กลางเตียงทำให้ผมต้องส่ายหัวเพราะท่านอนไม่เป็นระเบียบเอาซะเลย ผมคว้าผ้าห่มที่กองอยู่ปลายเท้าขึ้นห่มจนถึงคอ เอื้อมมือไปปัดปรอยผมที่รกใบหน้าสังเกตุเห็นที่ใต้ตาซึงฮยอนมีรอยคล้ำจางๆ อยู่ไม่หายไปไหน ผมไล้นิ้วโป้งเบาๆป้องกันไม่ให้เจ้าตัวตื่นขึ้นมาซะก่อน
“นอนดึกอีกแล้วมัวแต่ทำอะไรอยู่ ฮึ!” ผมบ่นเสียงเบาแต่ก็ยิ้มออกมาจนได้เพราะความเอ็นดู น้องเล็กที่ทุกคนก็รักและรักมากที่สุดก็ผมนี่แหละ หึหึ
“ฉันไปแล้วนะ อย่าเหงาจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเพราะคิดถึงฮยองคนนี้ล่ะ” ผมยังบ่นคนเดียวเบาๆเพราะซึงฮยอนยังนอนน้ำลายยืดอยู่ และผมไม่อยากปลุกเจ้าชายน้อยของผมขึ้นมาซะเช้าขนาดนี้หรอก เมื่อตัดใจได้ผมก็เดินถอนใจออกจากน้องเล็กเพื่อตรงไปที่ประตูหน้าบ้านเดินผ่านสวนที่คั้นระหว่างบ้านของพวกผมกับคฤหาสของท่านยาง อ้อพวกผมไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับท่านยางหรอกนะฮะ เห็นท่านบอกว่าทนกับเสียงเอิกเกริกของพวกผมไม่ได้เลยยกบ้านหลังเล็กของท่านให้พวกผมอาศัย ขนาดของบ้านก็ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนคฤหาสของท่านยางเพราะมีความกว้างแค่หนึ่งร้อยห้าสิบตารางวาและมีแค่สองชั้นบวกกับห้องใต้หลังคาที่พวกผมไม่ได้ใช้ ชั้นสองมีห้องนอนของเราทั้งห้าพอดีแบ่งเป็นฝั่งตะวันออกซึ่งมีห้องผมกับห้องจียงที่ริมสุด หมอนี่มันเห็นแก่ตัวเลือกห้องที่วิวดีที่สุดไปซะงั้นแต่ก็ดีฮะเพราะห้องที่ผมอยู่ตอนนี้ใกล้กับห้องของซึงฮยอนเจ้าชายน้อยของผมด้วยเสียอย่างก็ดีอย่างยังงี้แหละ หึหึ
▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫B♂gB♫ng▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫
เมื่อขึ้นรถออกห่างจากโซลไปเรื่อยๆ ผมก็แทบจะอดใจไม่ได้ที่จะหยิบมือถือออกมากดโทรหาน้องรัก ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองมากนักว่าทำไมถึงได้แต่กังวลแต่เรื่องของซึงฮยอนมากกว่าคนอื่นๆ ทั้งที่ผมเองก็รู้จักและสนิทกับจียงมานานแถมบ้านพ่อแม่ของพวกเราก็อยู่ใกล้ๆกันอีกเอาง่ายว่าผมกับจียงนั้นเห็นกันมาตั้งแต่เด็กก็ว่าได้ แต่ความรู้สึกที่มีให้หมอนั่นก็มีแต่ความหมั่นใส้ เพราะพวกผมแข่งขันกันมาตั้งแต่เด็กแต่น่าเจ็บใจที่สุดก็เรื่องแข่งจีบสาวนี่แหละ เพราะความขี้อายโดยเฉพาะกับสาวสวยเรื่องชวดนี่ผมเลยรับประทานประจำส่วนจียงน่ะเหรอ เหอะหมอนี่มันด้านจนได้สาวไปควงหมดนั่นแหละผมล่ะเซ็งจริงๆ แค่ก็คิดก็ย้อนกลับไปก็ไม่อยากขอเกิดมาอยู่บ้านใกล้ๆ และเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่ปฐมจนจบมัธยมปลายแถมสวรรค์กลั่นแกล้งให้เรียนห้องเดียวกันทุกปีอีกต่างหาก คิดดูว่าพระเจ้าเกลียดผมแค่ไหน!!
“โทษนะตรงนี้มีคนนั่งหรือเปล่าอ่ะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเผื่อว่าจะเป็นสาวสวยมาขอนั่งใกล้ๆ เหอะที่ไหนได้กลายเป็นหนุ่มน้อยหน้ามนซะงั้นเอาเถอะอย่ายุ่งกะผมแล้วกัน
“ไม่มีหรอก” ทั้งที่พยายามพูดเยื่อใยสุดๆแล้วแต่เสียงอันแสนนุ่มและไพเราะของผมกลายเป็นคำตัดเยื่อใยที่แสนสุภาพไปซะงั้นผมนึกด่าตัวเองที่เปลี่ยนนิสัยนี้ไม่หาย
“นายไม่ไปเล่นเกมส์ที่ข้างหลังเหรอ” หมอนั่นพยายามชวนผมคุย ผมส่ายศีรษะและเสียบเอ็มพี่สี่ใส่หูตัวเองเพื่อประกาศความเป็นส่วนตัวทันที เมื่อเสียงเพลงที่ผมโปรดปรานดังกระหึ่มอยู่ในหูทั้งสองข้างผมก็หลับตาลงเอนพิงเบาะหามุมสบายเพื่อหลับเพราะเมื่อคืนมัวแต่คิดจนไม่ได้นอนเต็มที่ และเสียงเอะอะของจียงกับซึงฮยอนคนพี่ก็ทำเอาผมข่มตาไม่ลงจนเช้านี่ล่ะ
“อะไรอีกล่ะ!!” ผมหันไปตะคอกเจ้ามือที่เอาแต่สะกิดแขนไม่หยุด หมอนั่นทำหน้าจ๋อยทันที ความรู้สึกผิดท่วมท้นหัวใจขึ้นมาอีกแล้ว เว้ย!! ผมไม่อยากเป็นพวกใจอ่อนเลยให้ตายสิ
“นายมีอะไร” ผมถามหมอนั่นเสียงอ่อนลงมาก เจ้าหมอนั่นพอเห็นใจดีเข้าหน่อยก็ยิ้มแฉ่งจนน่ารำคาญ ตาเรียวหยีจนมองไม่เห็นตาดำเลยแต่ใบหน้าหมอนี่มันดูยากจริงว่ากำลังยิ้มอยู่
“นายชื่อไรอ่ะ” หา!!...นี่อ่ะนะ แค่ถามชื่อนี่ต้องรบกวนคนจะหลับจะนอนเลยเรอะ ผมอยากออกอาการฟาดหัวฟาดหางกะหมอนี่เหมือนกันแต่ไม่เอาขี้เกียจมานั่งปลอบ
“ทง ยอง แบ!!” ผมตอบแค่นั้นกะจะเสียบเอ็มพี่สี่แล้วหลับต่อซะหน่อย แต่หมอนี่มันท่าจะบ้าสะกิดไม่เลิกซะที เฮ้อ!!...ผมถอนใจแล้วถอดหูฟังออกอีกหันมาจ้องหมอนั่นเขม็ง ทำสายตาว่านายยังต้องการอะไรอีก!!(วะ)
“อะเอ่อนายจะไม่ถามชื่อฉันหน่อยเหรอ อ๊ะแต่ไม่เป็นไรฉันชื่อ จาง ฮยอน ซึงนะยินดีที่ได้รู้จัก ทง ยอง แบ!” หมอนี่มันยื่นมือมาให้ผมมองแล้วจำใจจับๆมือให้เสร็จๆไปเพราะไม่อยากทนหมอนี่มันเซ้าซี้
“มีไรอีกมะ!!” ผมถามกลับน้ำเสียงแสนไพเราะและนุ่มนวลเริ่มกระด้างขึ้นนิดหน่อย แต่แค่นิดหน่อยจริงๆนะครับ
“ไม่มีครับ” เจ้าหมอนี่ชื่ออะไรนะ อืมจางๆ ซึงๆ นี่แหละแต่จะชื่ออะไรก็เหอะปล่อยฉันนอนได้แล้ว เมื่อคิดเสร็จผมก็ดึงหมวกขึ้นปิดหน้าแล้วหลับไป
▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫B♂gB♫ng▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫
“อืมมมมมมมมมมมม.....” ผมครางพลางบิดขี้เกียจจนตัวเป็นเกรียวเมื่อรู้สึกว่าอะไรซักอย่างหล่นตุ้บที่ตักก็ก้มมองอย่างตกใจ
“เฮ้ย!! ตื่นๆ” ผมเขย่าร่างเจ้าจางซึง(จำชื่อหมอนี่ไม่ได้อ่ะ) ที่นอนหนุนตักผมซะสบายเชียวนะ ผมดันร่างหมอนี่ขึ้นไปวางบนที่นั่งตามเดิม
“ฮู่วว...” เหนื่อยเหมือนกันแฮะการดูแลคนที่ไม่อยากเนี่ย ผมมองไปนอกกระจกเห็นวิวแปลกตาแล้วก็อดมองไม่ได้ ท้องทะเลระยิบระยับเรียกร้องความสนใจได้มากที่สุด ถ้าซึงฮยอนน้อยมาเห็นล่ะก็คงจะร้องกระตู้วู้โวยวายลั่นรถไปแล้วนะเนี่ย ดูสิยังไม่ครบยี่สิสี่ชั่วโมงผมก็คิดถึงหมอนั่นซะแล้ว
“นายทำอะไรอยู่ซึงฮยอนของฉัน” ผมเผลอเอ่ยออกมาเสียงดัง
“อะไรนายเรียกฉันเหรอ...” เจ้าจางซึงขยี้ตาแล้วถามผมที่หน้าเหวออยู่เพราะไม่รู้ว่าหมอนี่ตื่นขึ้นมาตอนไหน แล้วได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่านี่
“เปล่าซะหน่อยไม่ได้เรียกอะไรนายทั้งนั้นแหละหลับไปเลย!!” ขยับออกห่างหมอนั่นอย่างลืมตัวทุกครั้งที่ต้องเข้าใกล้คนที่ไม่อยากยุ่งด้วย
“อ้าว!!...เมื่อกี้ฉันได้ยินนายเรียก ฮยอนซึงนี่” ผมอยากเอาเท้าก่ายหน้าผากจริงๆ หมอนี่มันหูดีจริงหรือเปล่า ผมเรียกซึงฮยอนต่างหากเล่า
“ไม่ได้เรียกก็ไม่ได้เรียกดิ นายจะมารู้ดีกว่าฉันได้ไง” ผมขึ้นเสียง ลืมตัวโธ่มาดนุ่มลึกของผมหลุดจนได้
“งะงั้นเหรอขอโทษนะ...” เจ้าฮยอนซึงเอ่ยกับผมหน้าหงอยเชียว
อย่านะ!! ผมหลับตาลงเพื่อเตือนตัวเองอย่าให้ใจอ่อนไม่งั้นเดี๋ยวมีเรื่องยุ่งตามมาแน่ๆ แต่สุดท้ายก็
“นายฮยอนซึงใช่มั้ย!!” สุดท้ายผมก็ทนฝ่ายธรรมะที่มีมากกว่าอธรรมอดสงสารหมอนั่นไม่ได้ จริงๆ ยิ่งทำหน้าเป็นหมาเหงาอย่างนั้นคงใจดำด้วยยาก
“โทษทีพอดีนอนไม่พอเลยหงุดหงิดน่ะ” ผมโกหกเพื่อปลอบใจหมอนี่เชียวนะเหอๆ เห็นมะสุดท้ายผมต้องต้องโกหกเพื่อปลอบใจคนอื่นทั้งที่ไม่อยากทำ ผมถอนใจเมื่อหมอนั่นทำหน้ายิ้มแป้นแล้วพยักหน้าบานๆให้ยิ้มๆ ประมาณว่ารู้แล้วหมอนั่นค้นกระเป๋าที่กอดอยู่แล้วล้วงเอาขนมขบเคี้ยวมายื่นให้ผม
เหมือนเด็กปฐมไม่มีผิด แล้วหมอนี่มันผ่านชีวิตมาได้ยังไงตั้งนานสองนานและที่สำคัญรอยยิ้มหมอนี่ไม่ต่างจากตอนที่ทำหน้าเฉยๆเลย หมอนี่มันหน้าตายหรือเปล่า(ฟระ) ผมถอนใจมองขนมที่อยู่ในมือแล้วก็คว้ามาจนได้
“ขอบใจนะ” ผมจัดการแกะขนมเข้าปากเพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดอะไรประมาณนี้ และพยายามหันไปมองหมอนี่ให้น้อยที่สุดเพื่อตัดปัญหา
“ทุกคน!! ฟังทางนี้” เสียงอาจารย์หญิงคนหนึ่งเอ่ยผ่านโทรโขงสีแดงแปร๊ดเธอยืนอยู่ด้านหน้าข้างๆโชเฟอร์ที่พาเรามาซะจนถึงปูซานก็เกือบเย็นแล้ว
“เดี๋ยวพอถึงที่พักแล้ว ให้ทุกคนมารวมกลุ่มกันที่ล็อบบี้แล้วครูจะแจกหมายเลขให้จับพวกจับฉลากจะได้พักกับคนที่จับได้หมายเลขเดียวกัน เข้ามั้ยทุกคน” อาจารย์ถามพวกเราทั้งที่บางคนยังไม่ตื่นดีด้วยซ้ำ
“เข้าใจแล้วฮะ” เสียงเจ้าตัวยุ่งที่นั่งข้างๆผมเป็นคนตอบไปด้วยหน้ายิ้มแป้นซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้ได้ยังไงว่าหมอนี่กำลังยิ้มอยู่เพราะใบหน้าแทบจะเหมือนเดิมทุกอย่างยกเว้นประกายของดวงตาที่ส่องประกาย เอ๊ะนี่ผมไปสังเกตุประกายตาของคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ผมละสายตาเจ้าคนข้างแล้วกดมือถือตัวเองขึ้นดูปรากฏว่ามีสายที่ไม่ได้รับสองสายซึ่งเป็นของซึงฮยอนน้อยทั้งหมด ผมฉีกยิ้มอย่างดีใจแล้วกดโทรออกทันที
“ว่าไงนายโทรมาเหรอซึงฮยอน” ทั้งๆที่ผมคุยกับซึงฮยอนน้องรักของผมอยู่เจ้าจาง ฮยอน ซึง กลับเอาแต่จ้องผมเขม็ง เฮ้ยๆ ฉันไม่ได้พูดกะนายนะ สายตาที่ผมมองหมอหากออกเป็นเสียงได้คงประมาณนี้แน่ๆ
[พี่ยองแบไปถึงหรือยังฮะ และเห็นทะเลหรือเปล่าเป็นไงสวยมั้ยๆ] เสียง ซึงฮยอนน้อยตื่นเต้นมากกว่าผมที่นั่งอยู่ที่ปูซานซะอีก พอนึกถึงใบหน้าน่ารักๆ กำลังดีใจที่ได้เห็นทะเลแล้วก็หัวเราะน้อยๆออกมาอย่างลืมว่ามีคนนั่งฟังอยู่ข้างๆ ด้วย
“นายอยากเห็นหรอทะเลที่นี่สวยมากเลย” ผมพูดแหย่น้องเล็กไปอย่างนั้นเองเพราะผมยังไม่ได้ตั้งใจดูทะเลศักเท่าไหร่หรอก
[อ๊า!!...พี่ยองแบอ่ะ ถ่ายรูปมาเยอะๆนะฮะแล้วอย่าลืมของฝากด้วยนะ] ซึงฮยอนทวงทั้งที่ผมยังไม่ลงจากรถด้วยซ้ำ
“น่าเดี๋ยวซื้อไปฝากแล้วจะถ่ายรูปทะเลไปให้เยอะๆด้วยดีมั้ย” เสียงรับร่าเริงมาจากด้านซึงฮยอนทำให้ผมยิ้มไม่ยอมหุบ เมื่อวางสายพอดีกับมาถึงหน้าโรงแรมที่จะพักผมสะพายเป้ของตัวเองแล้วเดินไปรวมกลุ่มที่ล็อบบี้พยายามไม่สนเจ้าฮยอนซึงที่พยายามเร่มฝีเท้าให้ทันผม
“เอาล่ะทุกคนทางนี้ค่า!!” อาจารย์คนเดิมยังใช้โทรโข่งอันเดิมเรียกพวกเราให้เดินเข้าไปหา เมื่อนักศึกษาทุกคนมาพร้อมกันอาจารย์ก็ให้พวกเราล้วงหยิบหมายเลขของตัวเองขึ้นมา จนถึงรอบผมซึ่งได้หมายเลขแปด ผมก้มมองผ่านๆเพราะตราบใดที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับเจ้าฮยอนซึงตัวยุ่งนอกนั้นจะเป้นใครได้ทั้งนั้น
“นี่ๆ...” เจ้าฮยอนซึงสะกิดยิกๆที่แขนเสื้อผม เมื่อทนรำคาญไม่ไหวก็ต้องหันไปถามว่าหมอนี่จะอะไรกับผมนักหนาเนี่ย
“เราอยู่ห้องเดียวกันล่ะ” เจ้าฮยอนซึงส่งประกายตาระยิบระยับที่ประมาณยิ้มแก้มปริละมั้งพร้อมกับชูบัตรหมายเลขแปดเช่นเดียวกับผมให้ดูเป็นหลักฐานด้วย
“........” ผมได้แต่อึ้งและคร่ำครวญในใจ พระเจ้าคงไม่รัก ทง ยอง แบ คนนี้แล้วใช่มั้ยครับ!! ผมพยักหน้าเมื่อหมอนั่นชวนผมไปห้องพักผมได้แต่เดินคอตกตามไปอย่างว่าง่ายเลยล่ะ
▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫B♂gB♫ng▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫▫
พิจารณาค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น